ชูนิช มาร์เก็ต ปักหมุดแก้ศก.โดยตรง!!
“เราไม่ใช่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ ที่ต้องครอบคลุมทุกมิติของการแก้ปัญหาของประเทศ จึงเป็นเหมือน นิชมาร์เก็ต เป็นพรรคการเมืองที่เน้นนโยบายเศรษฐกิจ” สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า สรุปบทบาทของพรรค…ท่ามกลางการเมืองที่กำลังแข่งขันกันดุเดือดเลือดพล่าน
“สุวัจน์” บอกว่า เวลานี้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้มองการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศครั้งนี้ แตกต่างจากปี 62 ซึ่งในช่วงนั้นอยู่บนฐานความขัดแย้ง ผลการเลือกตั้งที่ออกมาจึงสะท้อนการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ส่วนปีนี้แม้ยังมีความขัดแย้งอยู่ แต่มีปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ…ปัญหาเศรษฐกิจ จึงทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนำมาเป็นประเด็นสำคัญ ในฐานะที่อยู่ในการเมืองมา 30 ปี เวลานี้เศรษฐกิจหนักที่สุด เพราะมีทั้งปัจจัยภายในและนอกประเทศที่เข้ามากดดัน ความเสียหายทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก ทั้งเรื่องของโควิด-19 เรื่องหนี้สินทั่วโลกที่เพิ่มพูน เรื่องเงินเฟ้อ จนพูดกันว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย ขณะเดียวกันยังมีสงครามยูเครน-รัสเซีย มาซ้ำเติม เกิดผลกระทบต่อราคาน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติที่แพงขึ้น
ปั้น ศก.เฉดสีเพิ่มรายได้
ดังนั้น!คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง! พรรคชาติพัฒนากล้า จึงเน้นนโยบายเศรษฐกิจมากกว่านโยบายอื่น เพราะไม่ใช่พรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่ต้องครอบคลุมทุกมิติของการแก้ปัญหาของประเทศ แต่เป็นพรรคการเมืองที่มีกลุ่มเฉพาะ มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเหมือนเป็นหมอโรคเฉพาะทาง หลังจากช่วยกันคิดนานกว่า 3 เดือน นำปัญหามากางดู จึงได้นโยบายออกมา 12 เรื่องสำคัญ โดยตั้งเป้าหมายคือ กอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจชาติ เพราะทุกวันนี้จะทำธุรกิจแบบเดิมไม่ได้ ต้องมาจัดสร้างแพลตฟอร์มเศรษฐกิจกันใหม่ หาจุดแข็งของประเทศไทยให้เจอ
นโยบายสำคัญอันแรก คือ ต้องหาเงินเข้าประเทศให้ได้5ล้านล้านบาทโดยแบ่งเศรษฐกิจเป็นเฉดสี อะไรที่ยังไม่เป็นกอบเป็นกำก็นำมาทำให้ชัดเจนเช่นเศรษฐกิจสีเหลืองได้แก่ซอฟต์พาวเวอร์ทั้งกีฬาดนตรี ศิลปะที่ต้องทำให้เป็นเศรษฐกิจให้ชัดเจนซึ่งเรื่องนี้จำเป็นต้องตั้งกองทุนซอฟต์พาวเวอร์ วงเงิน 10,000ล้านบาทขึ้นมาสนับสนุน ขณะที่เศรษฐกิจสีเขียว เรื่องของคาร์บอน เครดิต เรื่องของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ก็ต้องทำให้ชัดเจน หรืออะไรที่เป็นเศรษฐกิจสีเทา ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายหรือยังคลุมเครือ หรือที่เกี่ยวกับชีวิตกลางคืน แรงงานต่างด้าว หรือหวย ก็ต้องมาทำให้ถูกต้อง ขณะที่เศรษฐกิจสีขาว เช่น เรื่องของการท่องเที่ยว การดูแลสุขภาพ การท่องเที่ยวสายมู เป็นต้น ส่วนเศรษฐกิจสีเงิน คือเรื่องของผู้สูงอายุที่ปัจจุบันไทยมีมากกว่า 12ล้านคนก็สามารถทำให้เป็นเศรษฐกิจได้เช่นหมู่บ้านผู้สูงอายุศูนย์ดูแลสุขภาพการออกแบบอารยสถาปัตย์ทั้งหมดนี้หากทำให้ชัดเจนจะสร้างรายได้ สร้างการจ้างงานได้แน่นอน
4 หมื่นไม่เสียภาษี
เรื่องถัดไปที่พูดกันมาในเวลานี้ คือ เรื่องของ “เครดิตบูโร” ที่ทุกวันนี้ผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่มีเครดิต แต่ต้องการต่อยอดทางธุรกิจ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 5 ล้านราย หลังจากได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้จ่ายหนี้ไม่ตรงบ้าง จึงต้องการให้ปรับปรุงระบบเครดิตบูโร ในรูปแบบของการจัดให้มี “เครดิต สกอริ่ง” ที่รายงานด้านดี ๆ ของธุรกิจด้วย เช่น ยังสามารถจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟได้ ยังผ่อนชำระหนี้ได้ หรือมีเงินเดือนที่สูงกว่าค่าใช้จ่าย เพื่อให้มีโอกาสกลับมาสร้างเนื้อสร้างตัวกันใหม่ หรือแม้แต่เรื่องของการเพิ่มเงินให้ประชาชน ที่ต้องทำให้มีภาระภาษีน้อยที่สุด จึงกลายมาเป็นนโยบายเรื่องเงินเดือนไม่เกิน 40,000 บาท ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งได้คำนวณแล้วว่า มีผลกระทบกว่า 20,000 ล้านบาท หรือไม่ถึง 1% ของการจัดเก็บรายได้โดยรวม โดยปัจจุบัน 3 กรมภาษีจัดเก็บรายได้รวมกันปีละ 3 ล้านล้านบาท ซึ่งถือว่ารัฐเสียรายได้น้อยมาก แต่กลับช่วยเติมเงินกระเป๋าก็เท่ากับว่ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในทางอ้อม
รื้อโครงสร้างพลังงาน
ต่อมาเป็นเรื่องของ การลดค่าใช้จ่ายของประชาชน จากน้ำมันแพง ก๊าซแพง ค่าไฟฟ้าแพง จึงมีนโยบาย “รื้อโครงสร้างพลังงาน” ที่ต้องคิดสูตรค่าการกลั่นใหม่เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ที่เป็นธรรมกับผู้บริโภคคำพูดจาก สล็อตออนไลน์!! แทนการอ้างอิงจากค่าการกลั่นของสิงคโปร์ ส่วนเรื่องไฟฟ้า ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องลดปริมาณสำรองลงเหลือ 20% ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนได้ โดยปริมาณสำรองไฟที่มากเกินไปจะกระทบกับค่าไฟที่ทำให้ประชาชนต้องจ่ายแพงขึ้น รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทดแทนจากแสงอาทิตย์และพลังงานลมให้มากขึ้นเพราะมีราคาที่ถูกกว่าก๊าซธรรมชาติมาก หรือแม้แต่การเร่งเดินหน้าเจรจากับ “กัมพูชา” เพื่อขุดหาก๊าซธรรมชาติ ในโครงการร่วมในพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา ที่เป็นสัญญามาตั้งแต่ปี 44 หรือกว่า 20 ปีแล้ว หากเจรจาได้สำเร็จ ตรงนี้จะได้ก๊าซธรรมชาติไม่น้อยกว่าแหล่งเอราวัณ ซึ่งหมดห่วงเรื่องก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้จากอ่าวไทย รวมถึงก๊าซในแหล่งเจดีเอ หรือพื้นที่พัฒนาร่วมไทย-มาเลเซีย ที่กำลังจะหมดลงในอีก 10 ปีข้างหน้า
อัดท่องเที่ยวเต็มสตรีม
ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีเรื่องของการช่วยเหลือภาคเกษตร ที่เป็นจุดแข็งของประเทศ ทั้งข้าว อ้อย ยาง มันสำปะหลัง ปาล์มข้าวโพด ต้องมีแผนแม่บทในอีก 5 ปี แทนที่จะส่งออกสินค้าเกษตรแบบเดิมที่เป็นวัตถุดิบ ต้องเพิ่มรายได้โดยนำเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมมาเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร หรือแม้แต่เรื่องของการท่องเที่ยวนำไทย ที่จะเพิ่มนักท่องเที่ยวเป็น 2 เท่า ซึ่งก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน พำนักในไทยคนละ 10 วัน ค่าใช้จ่ายวันละ 5,000 บาท หรือ ทริปละ 50,000 บาท ถ้าเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 70-80 ล้านคน และให้อยู่นานขึ้นเป็น 12 วัน และใช้จ่ายเพิ่มเป็นวันละ 6,000 บาท ก็สามารถเพิ่มค่าใช้จ่ายนักท่องเที่ยวจากเดิม 2 ล้านล้านบาทต่อปี เป็น 5 ล้านล้านบาทได้ เช่นกัน.